แนะนำตัว Dr.Pong

แนะนำตัว Dr.Aom

Treatment Training and Activities (2)

< >

Balavi Delivery อาหารสุขภาพ

จานอร่อยเพื่อคนสุขภาพดี จานรักษาโรค ตามแพทย์แนะนำ

โยคะ เพื่อสุขภาพ

การดูแลสุขภาพที่ส่งผลดีต่อด้านร่างกาย และด้านจิตใจ

บรรยาย สัมมนาสุขภาพ

รับจัดบรรยาย สัมมนาสุขภาพ ให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ

คอร์สธรรมชาติบำบัด

สอนปฏิบัติ แนะวิธีดูแลสุขภาพด้วยอาหาร ออกกำลังกาย

ไฮโดรแอโรบิค

การออกกำลังกาย เคลื่อนไหวในน้ำต่อเนื่องกัน มีความหนัก ความเบาผสมผสานกัน มีจังหวะของดนตรี

Iridology

อ่านม่านตา เข้าใจสุขภาพ และปลดล็อค Inner เพื่อ Growth Mind Set

ป้องกันอัมพฤกษ์อัมพาตด้วยตนเอง


                                                                                                                                                โดย พญ.ลลิตา ธีระสิริ

 

        อัมพฤกษ์อัมพาตเป็นโรคเสื่อมของหลอดเลือดในสมอง ทำให้เนื้อสมองเสียหายจากการขาดเลือดเพราะเส้นเลือดถ้าไม่แตก ก็จะตีบ หรือไม่เช่นนั้นก็ตัน ส่วนมากเกิดกับคนที่มีอายุวัยกลางคนขึ้นไป แต่อายุน้อยกว่านั้นก็เกิดอาการอัมพฤกษ์อัมพาตได้เช่นเดียวกัน

 

 

 

 

คนที่มีอัตราเสี่ยงสูงในการเกิดอัมพฤกษ์อัมพาตได้แก่


• เบาหวาน
• ความดันเลือดสูง
• ไขมันเลือดสูง
• คนอ้วน
• คนสูบบุหรี่
• คนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
• คนดื่มเหล้าจัด
• คนที่เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ไม่เคลื่อนไหว
• คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้

 

อาการแสดงเริ่มแรก ซึ่งเกิดขึ้นในทันที ที่ควรระวังว่าอาจจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ห า ก มี อ า ก า ร เ ห ล่ า นี้ ใ ห้ รี บ ไ ป ร. พ. โ ด ย เ ร็ ว ภ า ย ใ น 1 - 3 ช. ม.
จะบรรเทาอาการเสียหายทางสมองได้ผลดี


1. พูดไม่ชัด แบบลิ้นคับปาก
2. เกิดความสับสน มึนงง ไม่รู้เรื่อง
3. อาการชา อ่อนแรง บริเวณใบหน้า แขน หรือขา โดยเฉพาะที่เกิดกับซีกเดียวของร่างกาย
4. เดินเซ เวียนศีรษะ ทรงตัวไม่ได้
5. ปวดศีรษะมาก โดยเฉพาะตอนตื่นนอน

 

ในระหว่างนี้จะช่วยตัวเองหรือผู้ป่วยได้ด้วยการกดจุด
ที่ มือ ข้อศอก หน้าแข้งด้านนอก เท้า และใต้คาง ดังรูป
ให้กดนวดจุดครั้งละ นับ 1-10 โดยกดวนไปให้ครบทุกจุด เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา

ย้ำอีกครั้งว่า หากมีอาการดังข้างต้น ให้รีบไปโรงพยาบาลโดยด่วน

 

หน้าฝนแล้วนะคะ หวัดและไข้หวัดระบาด
จะป้องกันการติดเชื้ออย่างไร
ฉีดวัคซีนดีไหม
ต่อไปนี้คือคำตอบ

มาเตรียมรับมือกับไวรัส –ไข้หวัดสารพัดชนิดกันเถอะ

 

                                                                                                                                                                        พญ.ลลิตา ธีระสิริ

         

          ไม่นานมานี้ เรามีไข้หวัดหมู (swine flu) ระบาดจนหมูขายไม่ออก เขาก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็นไข้หวัดเอ อีกสามวันต่อมาก็เรียกชื่อมันใหม่เป็นทางการว่า “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” ตกลงไข้หวัดใหญ่ตัวนี้จึงมีหลายชื่อ

ที่จริงไข้หวัดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่จากเชื้อไวรัสตัวไหน อาการของโรคมันก็รุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดาอยู่แล้ว และอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในคนกลุ่มเสี่ยง ซึ่งได้แก่เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรังที่ภูมิต้านทานอ่อนแออยู่แล้ว

ว่ากันว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 นี้ ที่จริงมีอัตราการตายต่ำ คือเพียง 5% แต่อัตราการระบาดต่างหากที่สูงมาก คือสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นภายในเวลาไม่กี่วัน มันก็ติดต่อข้ามจากแคลิฟอร์เนีย? ไปเมกซิโก หรือจากเมกซิโกไปอเมริกา? ข้ามจากอเมริกา ไปยุโรป ออสเตรเลีย แล้วเข้ามาป้วนเปี้ยนแถว ๆ บ้านเราคือฮ่องกงและเกาหลี อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เตรียมบทความนี้กระทรวงสาธารณสุขไทยยืนยันว่าในบ้านเรายังไม่มีการระบาด

แต่ยังไม่ทันจะได้ใจชื้นเท่าไรเลย นักวิชาการขององค์การอนามัยโลกก็คาดการณ์ว่า ในเร็ววันนี้จะมีไข้หวัดใหญ่อีกสายพันธุ์หนึ่งที่ร้ายแรงกว่าไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาด ซึ่งว่ากันว่าจะระบาดไปทั่วโลก และอาจจะรุนแรงเท่ากับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนในอดีตหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ที่ครั้งนั้นเจ้าไวรัสไข้หวัดใหญ่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 50 ล้านคน

คำถามคือ เราจะทำอย่างไรกับคำคาดการณ์เชิงขู่ให้ตระหนกนี้ดี

คนฉลาดคงไม่งอมืองอเท้ารับกับการระบาดกระมัง แน่นอนต่อไปก็คงจะต้องมีการผลิตวัคซีนป้องกัน และคงจะมีการรณรงค์ฉีดกันยกใหญ่ ซึ่งโดยความเป็นจริงนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ จะสามารถป้องกันโรคได้ประมาณ 60 % เท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่า ถึงจะฉีดวัคซีนก็อาจจะติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้

ความเป็นจริงเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่คือ เวลามันระบาด มีบางคนเป็น บางคนไม่เป็น บางคนที่เป็นมีอาการไม่รุนแรงนัก แต่บางคนก็มีอาการถึงแก่ชีวิตได้

เป็นที่ยอมรับกันว่า หากใครมีภูมิต้านทานที่ดี จะมีอัตราเสี่ยงต่อไข้หวัดใหญ่น้อยกว่า

ถ้าเช่นนั้นทำไม ไม่เริ่มปรับภูมิต้านทานของเราให้แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่วันนี้เพื่อรับมือกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์แปลก ๆ เล่า เพราะไข้หวัดใหญ่มันคงระบาดไม่หยุดแค่ที่องค์การอนามัยโลกคาดเอาไว้หรอก เดี๋ยวก็จะมีไข้หวัดพันธุ์แปลก ๆ ระบาดขึ้นมาอีก ถ้าเริ่มเสริมสร้างภูมิต้านทานตั้งแต่วันนี้ย่อมจะดีกว่าการหวั่นวิตกต่อการติดเชื้อเป็นไหน ๆ

ก่อนอื่นต้องรู้ว่า ภูมิต้านทานของเราจะเป็นอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับอาหารการกิน และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเราเอง

สำหรับอาหารเพิ่มภูมิต้านทานมีหลักการอยู่ว่า

- ต้องกินข้าวกล้องหรือธัญพืชที่ไม่ขัดขาวทุกมื้อ หรือให้มากมื้อที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะข้าวกล้องมีวิตามินอีที่เพิ่มภูมิต้านทานแต่ข้าวขาวไม่มี

- ต้องกินผักสดและผลไม้สดให้มากพอ นั่นคือ ผักสดวันละ 2 จานขนาดเท่ากับจานส้มตำ ผลไม้สดวันละ 2 ลูก ขนาดเท่ากับแอบเปิลสีแดง และน้ำผลไม้คั้นสด ๆ วันละ 200 ซีซี ทั้งนี้ผักสดและผลไม้สดมีวิตามินซี ซึ่งมีผลต่อความแข็งแรงของภูมิต้านทานโดยตรง และถ้าเลือกผักหรือผลไม้สีเขียวเหลืองแดง ก็จะได้เบต้าแคโรทีนไปเสริมความแข็งแกร่งของภูมิต้านทานอีกด้วย

- กินพืช ผักและผลไม้ให้หลากหลาย เนื่องจากพืชผักแต่ละชนิดมีสารผัก (phytonutrient) ที่มีบทบาทเสริมภูมิต้านทานแตกต่างกันไป ยิ่งกินพืชหลากหลายเข้าไว้ก็จะได้สารเสริมภูมิต้านทานหลายตัว เช่น


OPC ในองุ่นแดง เม็ดมะขาม เม็ดเงาะ และเม็ดทุเรียน จะมีประสิทธิภาพเสริมภูมิต้านทานมากกว่าวิตามินซี 20 เท่า

กลูตาไทโอน ในกระเทียม หอมแดง หอมใหญ่ กะหล่ำปลี กะหล่ำม่วง กะหล่ำดาว กะหล่ำดอก บร็อคโคลี่ ผักกาดฮ่องเต้ เป็นต้น จะช่วย

ตั

บให้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ภูมิต้านทานกระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็ว

คาเทอชิน ในชาเขียว จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโดยเฉพาะไวรัสหวัด และไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดี แต่การดื่มชาเขียวจะได้สารคาเทอชินไม่พอ เนื่องจากเราต้องการคาเทอชินมากถึง 800-1000 มก.จึงจะต้านไวรัสไข้หวัดได้ ดังนั้นหากอยากได้คาเทอชินต้องกินเป็นสารสะกัดจากชาเขียว ซึ่งเป็นอาหารเสริมเท่านั้น

ไม่แต่เท่าที่ยกตัวอย่างมาแค่นี้หรอก ผักอะไร ผลไม้อะไร พืชอะไรก็ได้ล้วนมีสารเสริมภูมิต้านทนทั้งสิ้น ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์รู้จักสารผักจากธรรมชาติกว่า 10,000 ชนิดเข้าไปแล้ว ดังนั้นใครอยากกินอะไรก็ได้ เอาเป็นว่าให้หลากหลายเข้าไว้ยิ่งดี

นอกจากอาหารแล้ว ยังต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำและดูแลตัวเองด้วยอาหารการกินที่ดี จะไม่ค่อยป่วย ถ้าอยากจะรับมือกับไข้หวัดใหญ่รูปแบบไหนให้ได้แล้วล่ะก้อ การออกกำลังกายนั่นแหละดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเดิน เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือจะเป็นการออกกำลังกายแบบตะวันออกเช่นชี่กง โยคะ ก็ดีทั้งสิ้น

การออกกำลังกายแบบตะวันออกเป็นการสร้างสมดุลในร่างกาย ในขณะที่ร่างกายมีการเคลื่อนไหว แต่ละท่วงท่าจะกำกับด้วยลมหายใจเสมอ ซึ่งจะทำให้ได้จิตสงบไปในเวลาเดียวกันกับการออกกำลังกาย ซึ่งจะกระตุ้นให้ระบบภูมิต้านทานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากอาหารและการออกกำลังกายแล้ว การใช้ความร้อนในรูปแบบต่าง ๆ เช่นการอบสมุนไพร การอบซาวน่า การใช้สตรีมรูม ถ้าทำให้เป็นก็จะยกระดับประสิทธิภาพของภูมิต้านทานได้ ทั้งนี้เนื่องจากระบบภูมิต้านทานของเราจะทำงานได้ดีกว่าหากอยู่ในสภาวะของอุณหภูมิที๋สูงกว่าอุณหภูมิปกติคือ 37 องศาเซลเซียส ดังนั้นหากเอาร่างกายไปสัมผัสความร้อนก็เท่ากับเป็นการเพิ่มภูมิต้านทานแล้ว

ใครก็ตามที่ออกกำลังกายเป็นประจำและใช้การอบสมุนไพร อบซาวน่า ฯ ร่วมด้วยก็จะยิ่งทำให้ภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น

สุดท้ายหากอยากมีภูมิต้านทานที่ดีจะต้องมีจิตสงบ การบริหารจิตให้สงบไม่ว่าจะเกิดจากรูปแบบคลายเครียดด้วยเสียงเพลง ด้วยการทำงานอดิเรก หรือด้วยการฝึกสมาธิ จะทำให้จิตสงบ หากทำเป็นประจำจะสามารถเพิ่มภูมิต้านทานได้ด้วย

เมื่อเอาทุกอย่างมารวมกัน เปลี่ยนอาหาร ปรับกิจวัตรในชีวิตประจำวันเสียใหม่ ระบบภูมิต้านทานของร่างกายก็๋จะดีขึ้น ไม่ว่าไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่จะระบาดกี่รอบ คุณก็จะมีอัตราเสี่ยงในการป่วยน้อยกว่าคนอื่นเขา จนบางครั้งอาจจะแปลกใจด้วยซ้ำว่าทำไมรอบตัวของเรามีแต่คนป่วยงอมแงม แต่คุณกลับไม่เป็นอะไรเลย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร เช่น 1-2 ปีต่อเนื่องกันจึงจะเห็นผล

อีกสักทีซิ
สำหรับคนที่ไม่อยากผ่าตัดเอาก้อนในเต้านมออก
นี่หมายถึงก้อนเนื้อหรือ ซีสต์ธรรมดานะตะ
คุณยังมีทางเลือกอื่น

รูปซ้าย: มะเร็งเต้านม รูปขวา: ก้อนเนื้อธรรมดา

 

ซีสต์และก้อนในเต้านม
วิธีป้องกันและดูแลตัวเอง

เป็นที่ยอมรับกันว่า ก้อนในเต้านมเกิดจากการที่เนื้อเยื่อเต้านมถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนเพศ หญิง ทำให้มันเติบโตขึ้นมาเป็นก้อนที่ผิดปกติ เมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงเรามีฮอร์โมนเพศในตัวเพิ่มมากขึ้น เช่นขณะตั้งครรภ์ อัตราเสี่ยงที่จะเกิดก้อนในเต้านมก็จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อคลอดแล้วบางครั้งก้อนก็เล็กลงไปเอง บางช่วงของระยะการมีประจำเดือนก็อาจตรวจพบก้อนในเต้านมเล็ก ๆ ได้ และเมื่อระดับฮอร์โมนลดลงก้อนก็หายไป 
ระดับฮอร์โมนในร่างกายของเราขึ้นลงตามธรรมชาติ แต่ที่เราพบว่าใคร ๆ ก็มีก้อนและซีสต์มากขึ้นเป็นเพราะ เราขยันเอาฮอร์โมนเพศหญิงจากแหล่งอื่นไปกระตุ้นเต้านมของเราเอง เช่น การใช้ฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง และที่น่าเป็นห่วงกว่าคือฮอร์โมนเพศที่ปนเปื้อนมาในนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ว่ากันว่านมวัวร้อยละ 99 มีฮอร์โมนปนเปื้อน เมื่อคนไทยนิยมดื่มนมวัวโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่านมมันเปื้อน ก็เลยถูกฮอร์โมนดังกล่าวกระตุ้นทำให้เกิดก้อน ซีสต์ในเต้านม และจะเพิ่มอัตราเสี่ยงของมะเร็งเต้านมในที่สุด
สำหรับก้อนและซีสต์ในเต้านมส่วนใหญ่ยังเป็นก้อนเนื้อธรรมดา ไม่ใช่มะเร็ง แต่การมีก้อนในเต้านมนั้นไม่ควรนิ่งนอนใจ หากคลำพบควรไปหาหมอตรวจว่าก้อนนั้นคืออะไรกันแน่
บางครั้งการทำแมมโมแกรมก็จะบอกได้ว่าก้อนที่เป็นอยู่ใช่ก้อนเนื้อธรรมดาหรือก้อนมะเร็งกันแน่ บางครั้งการตรวจพบว่ามีแคลเซี่ยมเกาะที่ก้อน นั่นเตือนเราว่าก้อนที่เป็นอยู่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้นะ ดังนั้นหากใครมีก้อน มีซีสต์ในเต้านมไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ควรจะดูแลตัวเองก่อนที่ก้อนจะพัฒนาไปเป็นมะเร็ง
การตัดเอาก้อนออกน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่บางครั้งก้อนมันเล็กและทำยาก หมอก็จะนัดตรวจแมมโมแกรมทุก 3 เดือนและ 6 เดือน         ไปเรื่อย ๆ

 

แล้วเราจะทำอย่างไรดี

ประการแรก หากไม่อยากมีก้อนในเต้านม หรือมีก้อนในเต้านมแล้วอยากให้มันหายไป จะต้องงดการใช้ฮอร์โมน เช่นยาคุมกำเนิด งดดื่มนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ได้แก่ นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เนย ชีส ขนมเค้ก ช็อคโกแล็ต แฮมเบอร์เกอร์ ฯลฯ 
ในสตรีวัยทองก็อย่าใช้ฮอร์โมนทดแทนเป็นอันขาด หากจำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ควรใช้นานเกิน 2 ปี และหากตรวจพบก้อนในเต้านมเมื่อใด ก็แปลว่าต้องหยุดใช้ฮอร์โมนทดแทนทันที

ประการที่สอง กินอาหารที่มีไขมันต่ำ มีสารเส้นใยสูง หรือจะหันมากินมังสวิรัติสักระยะก็ได้ ทั้งนี้เพราะเต้านมเป็นเนื้อเยื่อไขมัน หากลดอาหารไขมันลง ก้อนไขมันก็มีโอกาสลดขนาดลง

ประการที่สาม ทำให้ก้อนลดขนาดลงโดยการใช้น้ำมันดอกพริมโรสบานเย็น วันละ 2 กรัม แต่การใช้น้ำมันดอกพริมโรสบานเย็น มีของแสลงที่ต้องงด ได้แก่ งดดื่มชา กาแฟ เหล้า บุหรี่ จึงจะได้ผล

ประการสุดท้าย ให้สวนกาแฟวันละครั้ง เพื่อกระตุ้นตับให้ขับเอาฮอร์โมนเพศที่ล้นเกินมาออกไปจากร่างกาย

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องขององค์รวม ทำทุกอย่างไปพร้อมกันจึงจะได้ผลสูงสุด

 
จากการศึกษานักวิทยาศาสตร์พบว่า
 
สิ่งที่จะเกิดในร่างกายเราขณะวิ่งมาราธอน มีอะไรบ้าง..
 
 
• ร่างกายจะสะสมความร้อนเหมือนเป็นไข้
• ไม่งั้นก็กระจายความร้อนออกไปจากร่างกาย จนอุณหภูมิร่างกายลดต่ำกว่าปกติ แก้ได้โดยใช้ผ้าหนา ๆ คลุมกายหลังวิ่ง
• สภาพจะเหมือนขาดอาหาร  แก้ได้ด้วยการทำคาร์โบไฮเดรทโหลดดิ้ง คือกินข้าวกล้อง แป้งไม่ขัดขาวก่อนวันวิ่ง 1 วัน
• ไตจะหยุดขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งกว่าจะเป็นปกติต้องการเวลาฟื้นตัว นาน 2 สัปดาห์
 
 
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1185460201562654&id=893675634074447
 
 
 
 

News feed