แนะนำตัว Dr.Pong

แนะนำตัว Dr.Aom

Treatment Training and Activities (2)

< >

Balavi Delivery อาหารสุขภาพ

จานอร่อยเพื่อคนสุขภาพดี จานรักษาโรค ตามแพทย์แนะนำ

โยคะ เพื่อสุขภาพ

การดูแลสุขภาพที่ส่งผลดีต่อด้านร่างกาย และด้านจิตใจ

บรรยาย สัมมนาสุขภาพ

รับจัดบรรยาย สัมมนาสุขภาพ ให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ

คอร์สธรรมชาติบำบัด

สอนปฏิบัติ แนะวิธีดูแลสุขภาพด้วยอาหาร ออกกำลังกาย

ไฮโดรแอโรบิค

การออกกำลังกาย เคลื่อนไหวในน้ำต่อเนื่องกัน มีความหนัก ความเบาผสมผสานกัน มีจังหวะของดนตรี

Iridology

อ่านม่านตา เข้าใจสุขภาพ และปลดล็อค Inner เพื่อ Growth Mind Set

 

 
 

          ทุกวันนี้เป็นยุคสมัยของสุขภาพ ในตลาดจึงเต็มไปด้วยวิตามิน อาหารเสริมนานาชนิด ส่วนหนึ่งอ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับวัยใดวัยหนึ่งโดยเฉพาะ คำถามคือ เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว จะกินอะไร จะกินดีไหมหรือไม่ต้อง แล้วจะเลือกกินวิตามินกับอาหารเสริมอย่างไรดี

 

วิตามินอาหารเสริมสำหรับคนวัยหมดประจำเดือน

 

พญ.ลลิตา ธีระสิริ

 

           ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า ที่จริงวิตามินและอาหารเสริมล้วนหาได้จากอาหารในชีวิตประจำวัน หากกินอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ในวัยของแม่ก็ย่อมไม่ต้องการอะไรมาเป็นอาหารเสริมเลย คำว่า “ถูกต้อง” หมายความว่ากินให้ครบ 5 หมู่ กินทั้งคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน วิตามินเกลือแร่ และน้ำ ส่วนคำว่า “เหมาะสม” หมายความว่าแต่ละหมู่น่ะกินมากน้อยเท่าใดจึงจะทำให้มีสุขภาพดี

           อาหารในชีวิตประจำวันจึงหนีไม่พ้นการกินข้าวกล้องทุกมื้อ กินผักสดผลไม้สดวันละ 5 ส่วนอาหารหรือวันละ ครึ่งกก.ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ กินโปรตีนไม่มาก เท่ากับวันละ 100-180 กรัมแล้วแต่ว่าคุณตัวโตหรือตัวเล็ก กินไขมันนิดเดียวแบบอาหารไทยดั้งเดิม กินแกงส้ม ต้มยำ ส้มตำ แกงป่า แกงเลียงอะไรทำนองนี้ เท่านี้ก็บรรลุวัตถุประสงค์ของอาหารแนวธรรมชาติบำบัด ซึ่งทำให้มีสุขภาพดี

หากสูงอายุแล้ว เป็นผู้หญิง แต่ทำไม่ได้ตามนี้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็เถอะและมีอาการบางอย่าง ก็ควรเลือกใช้วิตามินและอาหารเสริมตามปัญหาสุขภาพตามอาการของตนเอง แต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน ซึ่งจะขอยกตัวอย่างมาแนะนำ สัก 10 รายการ ดังต่อไปนี้

 

          1. อาการสวิงสวายในวัยทอง ร้อนวูบวาบ หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน ซึ่งเป็นกลุ่มอาการในวัยหมดประจำเดือน แนะนำให้ใช้ เซเลเนียม (เม็ดละ 100 ไมโครกรัม) วันละครั้ง ครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหารเช้า

          2. หากมีอาการวัยทองรุนแรง ผิวแห้ง แน่นหน้าอก เครียดง่าย ขี้กังวล อ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง ใช้ไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารสะกัดจากถั่วเหลือง ซึ่งจะมีประโยชน์กับผู้หญิงสูงวัย และสามารถป้องกันกระดูกผุได้ด้วย เพราะไอโซฟลาโวนจะทำให้การดูดซึมแคลเซี่ยมในระดับลำไส้สะดวกง่ายดายขึ้นให้ใช้ไอโซฟลาโวน เม็ดละ 25-30 มก. ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้า เย็น

          3. หากมีอาการผิวพรรณไม่สดใส ไม่มีน้ำไม่มีนวล ปวดเมื่อยทั้งตัว เดี๋ยวปวดหลัง ปวดเอว ปวดตามข้อ หากต้องการทำให้ผู้หญิงวัยนี้มีสุขภาวะที่ดีขึ้น ให้ใช้กรดแกมม่าไลโนเลนิก ร่างกายจะเปลี่ยนกรดไขมันจำเป็นชนิดนี้ให้กลายเป็นโพรสตาแกลนดินอี 1 ซึ่งจะแก้ปัญหานี้ได้ แต่ต้องงดของแสลงประเภท ชา กาแฟ นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว เหล้า บุหรี่ ด้วย จึงจะใช้ได้ผล

           ในท้องตลาดมีกรดแกมม่าไลโนเลนิก อยู่หลายแบบได้แก่ น้ำมันพริมโรสบานเย็น น้ำมันบอเรจและน้ำมันแบล็กเคอร์แรนท์ เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งตามแต่ชอบ โดยใช้วันละ 2 กรัมเช่นน้ำมันพริมโรสบานเย็น เม็ดละ 1 กรัม ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้า เย็น (ถ้าเป็นเม็ดละ 500 กรัม ก็ใช้ ครั้งละ 2 เม็ดวันละ 2 ครั้ง เป็นต้น)

           4. หากกระดูกเริ่มผุ (จากการตรวจ) ปวดเมื่อยเนื้อตัวมาก ปวดหลังปวดเอว เกิดอาการนั่งโอยลุกโอย เป็นตะคริวบ่อย ให้ใช้ แคลเซี่ยมร่วมกับแมกเนเซี่ยม ในกรณีของกระดูกผุก็ใช้กับไอโซฟลาโวนดังข้างต้นด้วยก็จะยิ่งดี

           สำหรับแคลเซี่ยมกับแมกเนซี่ยมตามธรรมชาติจะอยู่รวมกันในรูปของแร่ธาตุที่ชื่อ โดโลไมท์ ในท้องตลาดมีขายเป็นอาหารเสริมสำเร็จรูปอยู่แล้ว กินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้งหลังอาหารเช้าเย็น

           5. หากเดินมีเสียงดัง เสียวในข้อเข่าข้อเท้า เดิน ๆ อยู่ดี ๆ ไม่มีแรง ข้อพับลงไป มีอาการปวดข้อ เพราะข้อเสื่อม ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากสูงอายุ ใช้ข้อมานานแล้ว กระดูกอ่อนที่หุ้มกระดูกแข็งที่มาชนกันตรงข้อเข่า ข้อเท้าบางตัวลง ทำให้ปวดข้อ ให้ใช้อาหารเสริมชื่อ กลูโคซามีนและคอนดรอยตินซึ่งมักจะมาคู่กัน เพิ่มความหนาตัวของกระดูกอ่อนในข้อ ใช้ไปนานประมาณ 2 สัปดาห์ก็จะเห็นผล

ให้ใช้กลูโคซามีนและคอนดรอยตินวันละ 1500 มก. เช่นถ้าใช้เม็ดละ 500 มก. ก็ใช้ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร หรือไม่เช่นนั้นหากใช้ชนิดผงซึ่งบรรจุซอง ซองละ 1500 มก. ก็ใช้วันละ 1 ซอง เป็นต้น

           6. หากขี้กังวล ขี้เครียด ห่วงโน่นห่วงนี่เกินกว่าเหตุ นอนไม่ดี สมองทำงานช้าลง ให้ใช้วิตามินบีที่รวมบีทุกชนิด ปริมาณสูงพอสมควร เช่นวิตามิน บี100 คือมีบีทุกประเภทปริมาณ 100 มก. ให้สมองสามารถนำไปสร้างสื่อนำประสาท เพื่อการทำงานของระบบประสาทเป็นไปอย่างราบเรียบยิ่งขึ้น

ให้ใช้ บี 100 ครั้งละ 1 เม็ด วันละครั้ง หลังอาหารเช้า

          7. หากภูมิต้านทานไม่ดี เป็นหวัดบ่อย ติดเชื้อบ่อย รวมทั้งเครียดมากด้วยให้ใช้วิตามินซีชีวภาพ ซึ่งเป็นวิตามินซีเลียนแบบธรรมชาติ ในเม็ดจะประกอบด้วย กรดแอสคอร์บิก อยู่รวมกับ รูติน เอสเปอริดีน ไบโอฟลาโวนอยด์ หรือรวมกับโรสฮิป ดูข้างขวดดี ๆ ว่าไม่ใช่ซี แอลคอร์บิกเฉย ๆ

ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นวิตามินซีไร้กรด หรือมีกรดน้อยจะดีกว่า เพราะวิตามินซีทั่วไปตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีกรดมาก และจะตกผลึกที่ไต เราคงอยากถนอมไตเอาไว้ใช้นาน ๆ โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อไต อย่างซีไร้กรด หรือซีกรดน้อย จริงไหมให้ใช้วิตามินซีชีวภาพเม็ดละ 1 กรัม วันละ 1-2 เม็ด กินครั้งเดียวหลังอาหารเช้า

          8. หากมีอาการแน่นท้อง ลมในท้องมาก ท้องอืดเฟ้อ เรอมาก ท้องเสียง่าย กินอะไรก็เสาะท้องให้ใช้น้ำตาลเชิงซ้อน FOS หรือฟรุกโตโกแซ็คคาไรด์ หรือที่เรียกว่า “พรีไบโอติก” น้ำตาลเชิงซ้อนนี้ร่างกายไม่มีเอนไซม์ย่อยมัน ร่างกายของเราจึงใช้ไม่ได้ มันจะเหลือไปถึงระดับลำไส้แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียที่มีประโยชน์อย่างแลคโตบาซิลไล บิฟิโดแบคทีเรีย เจ้าแบคทีเรียตัวดีจะกินน้ำตาลนี้เป็นอาหารแล้วเพิ่มจำนวน เติบโตขึ้นคลุมแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกายในลำไส้ ทำให้สุขภาพลำไส้ดีขึ้น อาการทางท้องจะหายไปเองภายในเวลา 2 สัปดาห์

ให้ใช้ FOS ครั้งละ 1 ซอง ละลายน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง

          9. หากท้องผูกถ่ายลำบาก ไขมันในเลือดสูงเป็นต้น ให้ใช้ไฟเบอร์อัดเม็ด กินก่อนอาหารทุกมื้อ เวลากินให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อละลายสารเส้นใยออกมาในทางเดินอาหาร มันจะทำหน้าที่เป็นมวลอุจจาระคอยซับน้ำเอาไว้ ทำให้อุจจาระนิ่ม ระบายออกมาได้ง่ายขึ้น รวมทั้งจะซับไขมันที่กินเข้าไปทิ้งออกมาเป็นอุจจาระเสียบ้าง จึงใช้ควบคุมไขมันในเลือดได้ ส่วนจะใช้เท่าใดนั้นให้ดูตามที่ข้างกล่องระบุเอาไว้

         10. หากมีอาการวิงเวียน หน้ามืด ใจไม่ดี ลมในท้องมาก แน่นหน้าอก ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดคือยาหอมแบบไทย ๆ ของเราเอง เลือกเอาแบบที่ไม่มีสารตะกั่วปนก็แล้วกัน วิธีกินยาหอม หากอยากให้ได้ผลในทันทีก็คือเอาผงยาหอมใส่ปากอมเอาไว้เลย แล้วค่อยดื่มน้ำตามทีหลัง ยาจะออกฤทธิ์เร็วกว่าการเอายาหอมละลายน้ำแล้วดื่มส่วนจะกินเท่าไรนั้นดูจากฉลากข้างขวด

เป็นที่รู้กันว่าผู้ป่วยมะเร็งควรที่จะดื่มน้ำคั้นจากผัก ผลไม้
และชาสมุนไพร เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน
และบางครั้งหลังให้เคมีบำบัดผู้ป่วยก็มักจะกินอะไรไม่ได้
ลองพิจารณาเครื่องดื่มทำเองง่าย ๆ ที่บ้านดังต่อไปนี้

เครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง


พญ.ลลิตา ธีระสิริ

         

           การฟื้นภูมิต้านทานเป็นหัวใจของการรักษามะเร็งให้หายขาด เมื่อใดก็ตามที่เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น เซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่ในซอกมุมต่าง ๆ ในร่างกายก็จะถูกทำลาย การฟื้นภูมิต้านทานกระทำได้โดยการกินผักสด ผลไม้สดปริมาณมาก มากเกินกว่าที่เราจะสามารถเคี้ยวและกลืนเข้าไป ทางแก้ปัญหาคือต้องแยกเอากากออกไปให้เหลือแต่ส่วนที่เป็นน้ำของผักผลไม้ ดื่มเข้าไปเพียงอึกเดียวก็จะได้สารอาหารเท่ากับปริมาณผัก ผลไม้เท่าที่เราใช้
ดังนั้นการดื่มน้ำคั้นแยกกากจากพืชผักจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และต้องดื่มปริมาณอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แก้วละ 200 ซีซี. ขึ้นไป จึงจะบรรลุเป้าหมายในการรักษามะเร็ง
ต่อไปนี้เป็นเมนูจาก ผัก ผลไม้ และสมุนไพรที่จะช่วยทำให้การกินผัก น้ำผักและผลไม้ของคนป่วยมะเร็ง ไม่น่าเบื่อหน่ายจำเจจนเกินไป

 

■ น้ำผักผลไม้สด อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารจากพืชผัก ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและเสริมภูมิต้านทาน เช่น วิตามินเบต้าแคโรทีน วิตามินซี สารไฟโตนิวเตรียนท์

☆ พันช์แตงโม


เครื่องปรุง 
           น้ำแตงโม 5 ถ้วยตวง 
           น้ำส้มคั้น 6 ถ้วยตวง 
           เนื้อแตงโมเอาเมล็ดออกตักเป็นลูกกลม ๆ เล็ก ๆ 1 ถ้วยตวง
           องุ่นเขียวลอกเปลือกเอาเมล็ดออก 1 ถ้วยตวง 
           น้ำเชื่อมจากน้ำตาลสีรำ น้ำมะนาว ใบสะระแหน่ล้างสะอาด 
วิธีทำ
           แยกส่วนผสมออกเป็น 2 ส่วน นำผลไม้ทุกชนิดในใส่ในอ่างแก้วแช่เย็นไว้ ส่วนของน้ำผลไม้ก็นำใส่เหยือกแช่เย็นไว้เช่นกัน 
เวลาเสิร์ฟให้ผสมส่วนของน้ำและเนื้อเข้าด้วยกัน โดยเทน้ำผลไม้ที่แช่ไว้ ลงในอ่างผลไม้ ตักใส่แก้วที่มีก้านสูง แต่งหน้าด้วยสะระแหน่ 1 ใบต่อแก้ว
สรรพคุณ 
           แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยการทำงานของไตให้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยบวมน้ำ

☆ น้ำมะละกอ
เครื่องปรุง 
           มะละกอห่าม ๆ ปอกเปลือก 
วิธีทำ
           หั่นเป็นชิ้นขนาดพอเข้าเครื่องแยกกากแยกน้ำตามจำนวนที่ต้องการดื่มทันที หากไม่ชินกับกลิ่นมะละกอให้บีบน้ำมะนาวได้นิดหน่อย
สรรพคุณ 
           มะละกอมีเบต้าแคโรทีนสูง และมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีน

 

☆ น้ำเบต้าแอปเปิล 
เครื่องปรุง
          แอปเปิล 2 ผล 
          แครอต 2 หัว 
          บีตรูตชิ้นเล็ก ๆ 1 ชิ้น 
วิธีทำ
          คั้นทุกอย่างด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้แยกกาก 
สรรพคุณ 
          เพิ่มภูมิต้านทาน และช่วยรักษาอาการท้องอืด

 

☆ น้ำแครอตผักกาดหอม 
เครื่องปรุง
          ผักกาดหอมล้างสะอาดผึ่งสะเด็ดน้ำ 100 กรัม 
          แครอตนอกหัวขนาดกลาง 1 หัว 
          แอปเปิล 1 ผล 
          น้ำมะนาว 1 ช้อนชา 
วิธีทำ
          คั้นทั้งหมดในเครื่องคั้นน้ำผลไม้แยกกาก
สรรพคุณ 
          ใช้บำรุงรากผม เหมาะสำหรับคนที่ใช้เคมีบำบัดแล้วผมร่วง

 

☆ น้ำฝรั่งขึ้นฉ่าย 
เครื่องปรุง
          ฝรั่งผลโต 1 ผล 
          น้ำมะนาว ½ ช้อนชา 
          ขึ้นฉ่ายจีน 3 ต้น 
วิธีทำ
          คั้นในเครื่องคั้นน้ำผลไม้แยกกาก
สรรพคุณ 
          ลดความดันโลหิตและอาการบวมน้ำ

 

☆ น้ำแอปเปิลผสมผักรวม  


เครื่องปรุง
          กะหล่ำปลี ½ หัว 
          คะน้า 1 ต้น 
          ขึ้นฉ่ายจีน 1 ต้น 
วิธีทำ
          ใส่ทุกอย่างลงในเครื่องแยกกากแยกน้ำ ใช้น้ำที่ได้ 2 ส่วน ผสมกับน้ำแอปเปิลคั้น 2 ส่วน
สรรพคุณ 
          เพิ่มภูมิต้านทานและช่วยกระตุ้นตับในการขับสารพิษออกจากร่างกาย เหมาะสำหรับคนที่รับเคมีบำบัด

 

■ ชาสมุนไพร สามารถช่วยรักษาอาการข้างเคียงของผู้ป่วยมะเร็ง เช่น นอนไม่หลับ ท้องอืด ร้อนใน บวมน้ำ
 

☆☆ น้ำใบเตยสด 
เครื่องปรุง
          ใบเตยหั่นเป็นท่อนเล็ก ๆ 1 ถ้วยตวง 
          น้ำ 3 ถ้วยตวง 
          น้ำอ้อยสดตามชอบ 
วิธีทำ
          ใส่ใบเตยในเครื่องคั้นแยกกากก่อน เมื่อหมดแล้ว เทน้ำผ่านเครื่อง นำน้ำใบเตยไปต้ม ชงกับน้ำอ้อย 
สรรพคุณ 
          แก้ร้อนใน เหมาะสำหรับตอนฉายแสง

 

☆☆ น้ำลูกพรุน 
เครื่องปรุง
          ลูกพรุน 8-10 เม็ด
วิธีทำ
          ต้มลูกพรุนในน้ำยีเนื้อให้กระจาย เอาเม็ดออกกรองเอากากทิ้งดื่มแต่น้ำ
สรรพคุณ 
          แก้ท้องผูก เหมาะสำหรับแก้อาการหลังให้เคมีบำบัด
 

☆☆ ชาตะไคร้ 
เครื่องปรุง
          ตะไคร้ล้างสะอาดทุบพอแตก หั่นเป็นท่อน ๆ 3 ต้น 
          ใบเตยหอม ล้างสะอาด ขยำพอช้ำ หั่น แล้วคั่ว 3 ใบ 
วิธีทำ
          ต้มน้ำให้เดือด ใส่ตะไคร้และใบเตยหอม ต้มประมาณ 5 นาที ตักตะไคร้และใบเตยออก เสิร์ฟร้อน ๆ 
สรรพคุณ 
          แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับปัสสาวะ โดยเฉพาะหลังการใช้เคมีบำบัด
 

☆☆ ชามะตูม 


เครื่องปรุง
          มะตูมแห้ง 2 แว่นคั่วให้หอม 
วิธีทำ
          ต้มน้ำ 2 แก้วให้เดือดพล่าน เทใส่ในมะตูมปิดฝาไว้ 3–5 นาที แล้วดื่มแต่น้ำ
สรรพคุณ 
          ชามะตูมใช้สำหรับแก้ท้องเสียได้ โดยเฉพาะหลังการฉายแสงหรือเคมีบำบัด

 

☆☆ ชาเห็ดหอม 
เครื่องปรุง
          เห็ดหอม 3 - 6 ดอก 
วิธีทำ
          ล้างเห็ดหอมหลาย ๆ ครั้งจนสะอาด แช่น้ำร้อนทิ้งไว้จนเห็ดบาน และนิ่ม กรองน้ำไว้ใช้ หั่นเห็ดเป็นชิ้น ๆ ใส่โถปั่น เติมน้ำแช่เห็ด 1 ถ้วย ถ้าไม่พอเติมน้ำสุกจนครบ 1 ถ้วย ปั่นให้ละเอียด กรองกากออก ตั้งไฟให้เดือด
สรรพคุณ 
          เห็ดหอมมีสารต้านมะเร็งและเสริมภูมิต้านทาน

 

☆☆ชาลำไยแห้ง 
เครื่องปรุง
          เนื้อลำไยแห้ง 15 กรัม 
          ขิงแก่ 6 กรัม 
          พุทราจีนแห้ง 6 ลูก 
          น้ำ 2 ถ้วยตวง 
วิธีทำ
          ต้มกับน้ำดื่มแทนชา
สรรพคุณ 
          บำบัดอาการเวียนศีรษะ และบวมน้ำ

ฝนตกมานาน เป็นหวัดหลายรอบ
ไอน่ารำคาญ ไม่หายสักที 
ทำอย่างไรดี

ไอเรื้อรัง


พญ.ลลิตา ธีระสิริ

           สภาพอากาศทุกวันนี้ทำให้หลายคนป่วยเป็นหวัดและไข้หวัดกันแทบทุกคน บางรายไม่หายขาด จนป่านนี้ยังไอเรื้อรัง หมดยาปฏิชีวนะไปหลายชุดแล้วก็ยังไม่หายสนิท หากเป็นเช่นนี้ เห็นทีจะพึ่งยาอย่างเดียวไม่ได้แล้ว คงต้องหาทางบำบัดอาการไอเรื้อรังด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ดังต่อไปนี้

          1.ดื่มน้ำให้มาก 
อาการไอเรื้อรัง สาเหตุหนึ่งเกิดจากทางเดินหายใจเกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย วิธีทำให้ไอลดลงคือ ดื่มน้ำให้มากเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเนื้อเยื่อในลำคอและหลอดลม 
             วิธีการคือ ดื่มน้ำสะอาด 1 แก้วหลังตื่นนอน หลังอาหารทุกมื้อ หลังมื้อเบรกเช้าและบ่าย รวมทั้งดื่มน้ำก่อนนอน
ข้อสังเกตคือ ดื่มน้ำอุ่นจะดีกว่าน้ำเย็นหรือน้ำแข็ง 
ในบางครั้งอาจจะใช้น้ำมะนาวแทน วิธีทำคือ ใช้น้ำอุ่น 1 แก้ว บีบมะนาวลงไปครึ่งลูก เติมเกลือลงไป 1 หยิบมือ และน้ำผึ้งครึ่งช้อนชา หากกลัวอ้วนก็งดใช้น้ำผึ้งเสีย หรือจะใช้มะขามป้อมปั่นกับน้ำในเบลนเดอร์แทนมะนาว ยิ่งดี หรือสลับเป็นน้ำส้มคั้นสด ๆ ไม่เติมน้ำ ไม่ใส่น้ำตาล ก็ได้

           2.สูดไอน้ำ
คนที่มีเสมหะในคอหรือในหลอดลมจะไอเรื้อรัง หากเสมหะไม่ถูกขับออกมาก็จะไอน่ารำคาญอยู่เช่นนั้น เสมหะยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังไม่รู้จบ ต้องขับออกมาให้ได้ แต่ยิ่งไอก็จะยิ่งเปลืองแรง บางคนไอจนเจ็บชายโครงเจ็บหน้าอกไปหมดแล้ว หากอยากให้เสมหะถูกขับออกมา ก็ต้องเอาน้ำไปหล่อลื่นให้เสมหะคลายเหนียวเสียก่อน การดื่มน้ำ หรือน้ำมะนาวมาก ๆ เป็นวิธีหนึ่ง แต่หากประกอบกับการสูดไอน้ำเข้าไป จะทำให้ไอน้ำเข้าไปละลายเสมหะออกมา เป็นการเยียวยาเฉพาะที่
             วิธีการสูดไอน้ำ ทำได้ 2 วิธีคือ
             2.1 สูดไอน้ำเข้าไปโดยตรง 
ให้หากาละมังใหญ่ ใส่น้ำเดือดจัด ๆ มาวางไว้บนโต๊ะ เอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ ๆ มาคลุมตัวคลุมกาละมังไว้ แล้วสูดเอาไอน้ำเข้าไปนานครั้งละ 5-10 นาที อาจจะหยดน้ำมันยูคาลิปตัส หรือทีทรี หรือไทม์ อย่างใดอย่างหนึ่งลงไปสัก 2-3 หยด จะทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น 
หรือจะใช้น้ำต้มสมุนไพรเช่นฟ้าทะลายโจร หรือเหงือกปลาหมอ หรือ พญายอ หรือทองพันชั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งแทน สมุนไพรทั้งหมดนี้มีฤทธิ์แก้อาการอักเสบ หากสูดเอาไอของมันเข้าไปก็เท่ากับเป็นการรักษาเฉพาะที่
             2.2 อบสมุนไพร ซาวน่า อบไอน้ำในห้อง เราหายใจเอาไอน้ำจะระเหยออกมาเข้าไปในปอด ทำให้เสมหะในคอและหลอดลมชุ่มชื้น อ่อนตัว และจะถูกขับออกมาได้ง่าย หลังจากอบความร้อนดังกล่าวแล้วให้ดื่มน้ำตามแก้วโต ๆ บางครั้งก็จะไอเอาเสมหะออกมาได้สะดวกขึ้น

          3. อบความร้อนสลับเย็น
ความร้อนจะกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เม็ดเลือดขาวก็จะไปซ่อมเนื้อเยื่อของทางเดินอากาศที่อักเสบให้หายเร็วขึ้น รวมทั้งกำจัดแบคทีเรียได้เก่งกว่าเดิม แต่ต้องอบร้อนสลับเย็น 3 รอบจึงจะได้ผลดี
ไม่ว่าจะอบสมุนไพร อบซาวน่า อบไอน้ำ หรือแช่น้ำร้อนในอ่าง ล้วนเป็นการเอาร่างกายไปสัมผัสความร้อนทั้งสิ้น การกระทำดังกล่าวจะกระตุ้นเม็ดเลือดขาวไห้กระปรี้กระเปร่า เปรียบเช่นเอาเม็ดเลือดขาวไปซ้อมรบ จะได้ทำลายแบคทีเรีย และซ่อมเนื้อเยื่อที่อักเสบเก่งขึ้น 
แต่ให้อบความร้อนเช่นที่กล่าวมา 3-5 นาที แล้วสลับอาบน้ำหรือแช่น้ำกระทั่งตัวเย็นลง การทำให้ร่างกายเย็นลงก็เพื่อส่งเม็ดเลือดขาวที่ซ้อมรบเสร็จแล้วเข้าไปสู่ปอด หลอดลม เปรียบได้กับการส่งทหารที่รบเก่งแล้วเข้าสู่สมรภูมิ ไอเรื้อรังก็จะหายเร็วขึ้น

          4.ใช้สมุนไพรแก้ไอเรื้อรัง เช่น

              - เห็ดหูหนูขาว เอามาครั้งละ 1/3-1/4 ดอก แช่น้ำก่อน แล้วตุ๋นในหม้อตุ๋นไฟฟ้าข้ามคืน จากนั้นใส่น้ำตาลกรวดพอให้มีรสหวานปะแล่ม ๆ กินทั้งน้ำและเนื้อ จนกว่าจะหายไอ

              - รังนก กินครั้งละ 1 ขวด วันละครั้ง จนกว่าจะหายไอ หากเลือกวิธีนี้ก็แพงหน่อย

              - ฟ้าทะลายโจร กินครั้งละ 4 เม็ดก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง แต่ไม่ควรใช้เกิน 7 วัน

              - บอระเพ็ดดองในน้ำผึ้ง ทำได้โดยล้างบอระเพ็ดให้สะอาด ตัดเป็นท่อน ๆ ละ 1 นิ้ว ตากแดด 1 วัน แล้วเอามาใส่ขวด เทน้ำผึ้งลงไปให้ท่วม ดองไว้ 2 เดือน แล้วเอามากิน จะเคี้ยวกินแต่บอระเพ็ดทีละท่อน หรือจะดื่มน้ำผึ้งครั้งละ ½ ช้อนชา วันละ 2-3 ครั้งก็ได้

              - ยาอมแก้ไอมะแว้งหรือยาอมมะขามป้อม อมครั้งละเท่าใด หรืออย่างไรให้ดูจากข้างขวด จนกว่าจะหาย

              - กินมะม่วงไม่รู้หาวมะนาวไม่รู้โห่ หรือหนามแดง เวลารู้สึกระคายคอ

News feed